รีวิวสัตว์ในบ้านแปลกๆ บรรดา exotic pet ที่นิยมเลี้ยงกันในบ้านจะมีสัตว์ชนิดไหนกันบ้างมาติดตามกัน
รีวิวสัตว์ในบ้านแปลกๆ หากจะถามถึงว่าเลี้ยงสัตว์ เลี้ยงอะไรดี ง่ายๆ และเป็น exotic pet แล้วล่ะก็ บอกได้เลยว่าในไทยนั้น ก็มีหลายอย่างมาก และสำหรับ exotic pet ในไทย ก็มีหลายชนิดเลยทีเดียว ที่เลี้ยงได้ไม่ยากjordan shoes for sale nike air jordan mens cheapest jordan 1 glueless wigs cheapest jordan 4 nike air max 97 black create custom jerseys nfl jersey for sale wig shop custom nfl jerseys jordan 4 cheap custom uniforms adidas sneakers best human hair wigs online best male sex toy
รีวิวสัตว์ในบ้านแปลกๆ มาดูกันดีกว่าว่า exotic pet น่าเลี้ยง จะมีสัตว์ชนิดไหนกันบ้าง
มาเริ่มกันที่ สัตว์เลี้ยงสุดแปลก อย่างเจ้าแมวสฟิงซ์กันดีกว่า ต้นกำเนิดของแมวพันธุ์นี้ ยังเป็นที่ถกเถียงอย่างเป็นวงกว้าง โดยมีความเป็นไปได้ ของแหล่งกำเนิดก็คือ มาจากประเทศอียิปต์หรือฮาวาย
แต่กลับพบว่าเจ้าแมวพันธุ์สฟิงซ์ตัวแรกของโลก ที่ถูกนำมาเลี้ยง อยู่ในประเทศแคนาดาเมื่อปี ค.ศ 1830 แต่บางรายงานกลับระบุว่า มีการพบครั้งแรก ณ ประเทศเม็กซิโก เมื่อปี ค.ศ 1900
หลังจากนั้นข่าวนี้ก็เงียบหายไป และมีการพบอีกครั้ง ที่สหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ 1950 แมวสฟิงซ์เป็นลูกหลานของแมวที่ไม่มีขน โดยกลุ่มคนรักแมวในประเทศแคนาดา ได้นำมาพัฒนาสายพันธุ์
สฟิงซ์ได้รับการรับรองสายพันธุ์จาก cfa แห่งสหรัฐอเมริกาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่บางบันทึกก็กล่าวว่า แมวสฟิงซ์เกิดจากการผ่าเหล่า ของแมวพันธุ์วิเชียรมาศ หรือที่ฝรั่งเรียกว่า siamese cat
เหตุนี้มันจึงมีลักษณะคล้ายแมวไทยมาก มีนิสัยขี้เล่นชอบอ้อน เข้ามาคลอเคลียเจ้าของอยู่เป็นประจำ หลายคนมีความคิดที่อยากจะเลี้ยงแมวสักตัว แต่กลัวเรื่องขนแมวร่วง หรือเป็นภูมิแพ้ ทำให้ต้องตัดใจจากการเลี้ยงแมว
แต่ตัวนี้หมดห่วงจัดเลย สฟิงซ์มีขนาดตัวปานกลาง ไปจนถึงขนาดใหญ่ มีกล้ามเนื้อเยอะน้ำหนักก็เลยมากตามไปด้วย นอกจากตัวที่ค่อนข้างใหญ่แล้ว ใบหูก็มีขนาดใหญ่และกว้างเหมือนค้างคาว มาพร้อมกับดวงตากลมโต ที่ทำให้น่ารักน่าเอ็นดู และเป็นมิตรอย่าบอกใครเชียว
รีวิวสัตว์ในบ้านแปลกๆ แมวสฟิงซ์นั้น จะมีสีของตาที่หลากหลายไม่แน่นอน ใครที่คิดว่าแมวสฟิงซ์ทุกตัว จะไม่มีขนบอกเลยว่าคิดผิด เพราะเราสามารถพบเห็น ขนของเขาได้ในบางตัวเช่นกัน ปกติแล้วผิวหนังจะถูกคลุมไว้ด้วยเยื่อบางๆ ที่สามารถรู้สึกได้จากการสัมผัส หรืออาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
เยื่อบาง ๆ นี้ ทำให้ผิวหนังของแมวมีความอุ่นและนิ่ม ลักษณะเด่นของแมวสายพันธุ์นี้ คงหนีไม่พ้น เรื่องของรอยย่นตรงบริเวณระหว่างหูทั้งสองข้าง หัวไหล่และในส่วนอื่น ๆ แต่ก็ใช่ว่าแมวสายพันธุ์อื่น ๆ จะไม่มีรอยย่นนะ
แค่น้องสฟิงซ์ของเราไม่มีขน เลยเห็นชัดเจนแค่นั้นเอง มีความเชื่อว่าแมวสฟิงซ์เป็นแมวของชาวอียิปต์ยุคโบราณ คุณจะพบแมวพันธุ์นี้ ได้จากภาพเขียน ภาพสลัก รูปปั้น ในศิลปะอียิปต์ยุคโบราณ ซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงที่ยอดนิยม ของชนชั้นสูงในสมัยนั้น ไฮโซไม่เบาเชียวล่ะ
ใครที่อยากรับเจ้าสฟิงซ์ไปดูแล ก็ต้องทำความเข้าใจธรรมชาติของเขาก่อน สฟิงซ์ค่อนข้างเป็นแนวมีพลังงานสูง ชอบวิ่งเล่นผาดโผน เพื่อปลดปล่อยพลังงาน และขี้สงสัยอยากรู้อยากเห็น รวมไปถึงความสนใจในตัวของมนุษย์ ที่มีมากพอสมควรเลยล่ะ
ถึงตรงนี้แล้วหลายคนอาจจะคิดว่า แบบนี้เลี้ยงนอกบ้านจะเหมาะกว่าไหม ตอบเลยว่าไม่ ด้วยความเฟรนด์ลี่ของสฟิงซ์ ทำให้อาจถูกทำร้ายได้ง่าย เพราะฉะนั้นเราควรเลี้ยงในบ้านนั่นเอง
สฟิงซ์เหมาะสำหรับ คนเป็นโรคภูมิแพ้เนื่องจากไม่มีขน ซึ่งขนเป็นตัวกลางในการนำพาน้ำลาย ที่เป็นพาหะของโรคภูมิแพ้ในมนุษย์
เรามาดูวิธีการดูแลแมวสฟิงซ์กันดีกว่า ว่าจะเลี้ยงดูอย่างไรให้เหมาะสม
รีวิวสัตว์ในบ้านแปลกๆ ด้วยความที่มันไม่มีขนคอยปกป้องผิวหนัง ผิวหนังของเขาเลยต้องผลิตน้ำมันออกมาเคลือบ มันจึงต้องการการอาบน้ำ และดูแลอย่างเหมาะสม เพื่อให้ผิวหนังของมันมีสุขภาพดี ควรอาบน้ำหรือเช็ดตัวให้อาทิตย์ละ 1 ครั้ง ถ้าไม่ทำผิวหนังของมัน จะแห้งและเป็นขุยด้วย
นอกจากนี้ควรตัดเล็บให้มัน เป็นประจำทุกอาทิตย์ เพื่อป้องกันผิวหนังเป็นรอย จากการเกา และเพื่อรักษาความชุ่มชื้นให้ผิวสวยของมัน เมื่อไหร่ที่พาออกไปเดินเล่นตากแดด ควรทาครีมกันแดดของเด็กให้ด้วย เพื่อป้องกันผิวจากแสงแดด ที่จะทำให้ผิวแห้งแตก
เนื่องจากแมวทั่วไป สามารถเก็บความชื้นในเส้นขนได้ แต่น้องสฟิงซ์ของเรา ทำแบบนั้นไม่ได้ แบบนี้ตอนออกข้างนอกต้องสวมเสื้อแมว ป้องกันให้สักหน่อยแล้ว แมวสฟิงซ์แบ่งออกเป็น 3 ชนิดใหญ่ ๆ ด้วยกัน
1. แคนนาเดียนสฟิงซ์ ลำตัวต้องยาวหางยาวเรียวที่ปลายหาง หัวคล้ายลิ่ม หูเป็นรูปสามเหลี่ยม ปลายหูเนี่ยจะต้องกลม ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 18,000 บาทถึง 120,000 บาท ชนิดที่
2. ดอยสกอย มีลำตัวขนาดกลาง ต้องไม่สั้นและไม่ยาวจนเกินไป มีกล้ามเนื้อแข็งแรงมีใบหูที่ใหญ่ ดวงตาเป็นรูปเม็ดอัลมอนด์ มีนิ้วเท้ายาวมากและติดกันเป็นพืด ราคาเฉลี่ยประมาณ 35,000 บาทจนถึง 160,000 บาท
ชนิดสุดท้ายก็คือ ปีเตอร์บัล หัวแคบและยาวลำตัวตรงหน้าแหลมหูใหญ่และกาง โหนกแก้มแบน ขายาว ลำตัวดูสง่า ดวงตาเป็นเม็ดอัลมอนด์และมีลักษณะหางที่ยาว ราคาเฉลี่ยประมาณ 35,000 บาทจนถึง 450,000 บาท โดยเฉพาะสีดำล้วนเนี่ยจะมีราคาที่สูงมาก ๆ
เรื่องน่ารู้ของมังกรเครา พวกมันมาจากไหน และในตอนนี้น่าเลี้ยงมากขนาดไหน
รีวิวสัตว์ในบ้านแปลกๆ มาต่อกันที่ exotic pet เลี้ยงง่าย ชนิดที่ 2 กันเลย ซึ่งก็คือมังกรเครานั่นเอง ซึ่งลักษณะที่อยู่ของมันนั้น ตามถิ่นกำเนิดเดิมก็จะอยู่ตามทะเลทราย หรือไม่ก็เป็นเทือกเขาที่สลับกับเนินทรายนั่นเอง โดยส่วนใหญ่แล้ว พวกมันจะหากินบนพื้นมากกว่าหากินบนต้นไม้
รีวิวสัตว์เลี้ยงแปลก ชนิดนี้ ลักษณะโดยทั่วไปของมังกรเครา ก็จัดอยู่ในสัตว์ประเภทสัตว์เลื้อยคลาน และเป็นสัตว์ในตระกูลเดียวกันกับกิ้งก่านั่นเอง
แต่ลักษณะทางกายภาพนั้น ก็นับว่าโดดเด่นจากกิ้งก่าทั่วไปอย่างมากเลยล่ะ เรียกง่าย ๆ ว่าแค่มองก็ทราบได้ทันที ว่านี่เป็นมังกรเครา ไม่ใช่กิ้งก่าธรรมดาแน่นอน
โดยจะดูได้จากลวดลาย ที่อยู่บนลำตัวแล้วก็สีสัน สีตามธรรมชาติของพวกมันนั้น ก็จะมีสีน้ำตาลเป็นหลักบางตัวก็มีสีครีม
ในยุคปัจจุบันนั้นมีการเลี้ยงกันอย่างแพร่หลาย ก็เลยมีการพัฒนาสายพันธุ์ขึ้นมา ทำให้มีความหลากหลายทางชีวภาพมากขึ้น
มีการพัฒนาสายพันธุ์อย่างต่อเนื่อง จนในปัจจุบันนั้น สีของพวกมัน ก็มีหลากหลายโทนอย่างมาก มนต์ลำตัวของมันนั้น จะมีเกล็ดแล้วก็มีหนามด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันตัว จากสัตว์นักล่าตัวอื่น ๆ
และจุดเด่นอีกอย่างหนึ่ง ที่สังเกตได้อย่างชัดเจนก็คือ ที่บริเวณใต้คางของมัน ก็จะมีถุงที่เป็นหนามเช่นกัน เวลาที่พวกมันตกใจนั้น ก็จะแผ่ขยายออกมาเป็นสีดำ หรือหากพวกมันมีอาการตื่นเต้น หรือในขณะที่มันต่อสู้ แล้วก็ในตอนที่มานั้นเกี้ยวพาราสีตัวเมียนั่นเอง
ในวัยเจริญพันธุ์ของพวกมันนั้น ความยาวนับตั้งแต่หัวไปจนถึงหางอยู่ที่ 16 ถึง 18 นิ้ว โดยประมาณ อายุขัยของพวกมันโดยปกติแล้ว ก็จะอยู่ได้ตั้งแต่ 3 จนถึง 6 ปี และหากเป็นพันธุ์ที่มนุษย์นำมาเลี้ยง โดยส่วนใหญ่แล้วก็อยู่ที่ประมาณ 4-7 ปีนั่นเอง
ตัวไหนที่นำมาเลี้ยง และมีสุขภาพแข็งแรงมาก หรือว่าได้รับการดูแลอย่างดีแล้ว ก็อาจมีอายุยืนยาวได้ถึง 14 ปีกันเลยทีเดียว ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม แล้วก็การเลี้ยงดูด้วยนะ
ในช่วงอายุ 8-12 เดือนนั้น ก็ถือเป็นวัยเจริญพันธุ์ของมันแล้ว ฤดูผสมพันธุ์นั้น ตัวผู้ก็สามารถที่จะผสมพันธุ์กับตัวเมียได้หลายตัวเลยล่ะ
และตัวเมียหากได้รับการผสมพันธุ์เพียงครั้งเดียว ก็สามารถตั้งท้องเองได้อีก 2 ไปจนถึง 4 ครั้ง ระยะเวลาในการตั้งท้องของพวกมันนั้น อยู่ที่ประมาณ 20-28 วัน
ช่วงเวลาก่อนคลอดนั้น ตัวเมียจะมีพฤติกรรมอดอาหารเป็นเวลา 2 จนถึง 4 วัน แล้วก็จะหาที่ขุดถุงทรายเพื่อที่จะนำไข่ไปฟักนั่นเอง ในแต่ละครั้งก็มักจะฟักไข่ประมาณ 20 จนถึง 30 ฟอง ต่อการคลอดแต่ละครั้ง นับโดยรวมแล้วใช้เวลาทั้งหมดกว่า 65 วัน
และการกำหนดเพศของพวกมันนั้น ก็เกิดจากอุณหภูมิในขณะที่พวกมัน กำลังฟักตัวนั่นเอง และอาจจะถามถึง เลี้ยงอะไรดี ในห้อง เล็กๆ มังกรขาวก็เป็นหนึ่งในสัตว์ ที่ว่านั้นเลยล่ะ
โดยปกติแล้ว นิสัยของพวกมันนั้นก็ไม่ดุร้าย แล้วก็มีนิสัยที่เชื่อง เข้ากับผู้เลี้ยงได้เป็นอย่างดี จับมาเล่นได้ ป้อนอาหารโดยตรงจากมือได้ แต่หากเป็นเด็กก็ต้องระวังสักหน่อย ควรมีผู้ใหญ่คอยควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิด
แล้วพวกมันนั้น ก็มักจะมีนิสัยชอบอยู่ตัวเดียว หรือว่ารักสันโดษนั่นเอง สาเหตุที่พวกมันไม่ชอบอยู่รวมตัวเป็นฝูงนั้น ก็เพราะว่าพวกมันนั้นเป็นสัตว์ที่หวงพื้นที่มาก
รีวิวสัตว์ในบ้านแปลกๆ สำหรับวิธีการเลือกซื้อแล้วก็แหล่งซื้อ ในยุคปัจจุบันก็สามารถจะหาจากร้านขายสัตว์เลี้ยงแนว exotic pet ได้ง่ายมาก ๆ เลย หรืออาจจะซื้อจากบรรดา Breeder ได้โดยตรง
และหากใครยังมีคำถามอีกว่า เลี้ยงอะไร ไม่ต้องดูแลมาก บอกเลยว่าการนำเจ้ามังกรเครามาเลี้ยงเนี่ยตอบโจทย์เลยล่ะ
ปิดท้ายกันด้วย exotic pet ในไทย คาปิบาร่า เลี้ยงไม่ยากอย่างที่คิด มาดูกันว่าพวกมันนั้นน่ารักมากมายขนาดไหน
รีวิวสัตว์ในบ้านแปลกๆ สำหรับ exotic pet ชนิดที่ 3 นี้ ก็เป็นหนึ่งในสัตว์ ที่เป็นมิตรกับมนุษย์อย่างมากเลยล่ะ ซึ่งเราอาจะเคยเห็นมันบ้างอยู่ใน ซีรีย์ญี่ปุ่นมาแรง บางเรื่องด้วย
ชื่อเล่นของมันนั้นก็คือ เจ้าหนูยักษ์คาปิบาร่านั่นเอง สำหรับสัตว์ชนิดนี้ ก็อยู่ในตระกูลสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม และเป็นสัตว์ที่กินพืชเป็นอาหาร
พวกมันจะมีฟันแทะขนาดใหญ่ มองดูรูปลักษณ์ทั่วไปก็มีความคล้ายคลึงกับหนูตะเภา แต่มีขนาดที่ใหญ่กว่ามาก หูของพวกมันนั้นสั้นและไม่มีหาง สีขนของพวกมันนั้น เป็นสีน้ำตาลอ่อน และมีความแข็งกระด้างอย่างมาก
วัยเจริญพันธุ์ของพวกมัน ก็อยู่ที่ประมาณ 18 เดือน น้ำหนักในวัยเจริญพันธุ์ของพวกมัน ก็จะอยู่ที่ 30 จนถึง 60 กิโลกรัมกันเลยที ด้วยความที่ขนาดตัวแล้ว ก็น้ำหนักที่ใกล้เคียงกับมนุษย์ ก็เลยเป็นสาเหตุที่ เป็นหนูยักษ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
รีวิวสัตว์ในบ้านแปลกๆ สำหรับนิสัยโดยทั่วไปของมัน ก็มักจะอยู่รวมกันเป็นฝูง ถุงหนึ่งนั้นก็อยู่ที่ประมาณ 40 ตัว
หากจะนำพวกมันมาเลี้ยง ก็ควรหาเพื่อนให้มันด้วยนะ เนื่องจากหากเลี้ยงเพียงตัวเดียว ก็อาจส่งผลให้พวกมันเกิดความเครียดได้
โดยปกติแล้ว นิสัยของพวกมันนั้นก็มักจะเป็นมิตร กับทุกสิ่งทุกอย่างเลย และหนึ่งในพฤติกรรมที่มันชอบมากที่สุด ก็คือการแช่ในน้ำนั่นเอง มันสามารถทำกิจกรรม ที่หลากหลายในขณะที่พวกมันแช่น้ำได้ ใช้ยังรวมไปถึงในตอนที่มัน ขับถ่ายและสืบพันธุ์ด้วย
และนี่เองจึงเป็นเหตุให้พวกมันเป็นสัตว์อีก 1 ชนิด ที่ว่ายน้ำได้เก่งมาก ด้วยความที่พวกมันนั้นมีขนาดใหญ่ จึงไม่แปลกเลยที่พวกมัน จะกินจุกอย่างมากสมกับน้ำหนักตัวของมันเลย
และในช่วงที่มันโตเต็มวัยนั้น สามารถกินอาหารในแต่ละวันได้ถึง 2 จนถึง 3.5 กิโลกรัมกันเลยทีเดียว
แน่นอนว่าพวกมันนั้น กินพืชเป็นอาหารหลัก อาหารที่หามาให้ก็หาได้ไม่ยากมาก ซึ่งก็ได้แก่ พืชผักผลไม้แล้วก็หญ้า และยังรวมไปถึงเปลือกไม้แล้วก็พืชน้ำด้วย
แต่พวกมันก็มีพฤติกรรมการกิน ที่แปลกอย่างมากเลยล่ะ เนื่องจากพวกมัน มักจะกินอึของตัวเองในช่วงเวลาเช้า
หากสนใจนำพวกมันมาเลี้ยง ก็ควรจะหาผักผลไม้ออแกนิค เพื่อความปลอดภัยของพวกมัน การจะเลี้ยงพวกมันนั้น ควรจะมีพื้นที่รอบบ้านให้เพียงพอ เนื่องจากพวกมัน ก็มีพฤติกรรมการขุดคุ้ยหรือว่าขุดดินด้วย
รีวิวสัตว์ในบ้านแปลกๆ ในบางครั้งก็จะขุดรูในพื้นที่ที่เป็นโคลน ควรจะมีต้นไม้ขนาดใหญ่ให้พวกมัน ได้ใช้อาศัยหลบแดด หลังจากที่พวกมันแช่น้ำอย่างสบายใจแล้ว
และสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือบ่อน้ำ และความลึกที่ควรนำมาใช้ก็คือ 2 ฟุตนั่นเอง ด้วยเหตุนี้การเลี้ยงคาปิบาร่า ก็ควรมีพื้นที่อย่างมากเลยล่ะ
ทั้งนี้ก็จะทำให้พวกมัน ไม่เกิดอาการเครียดนั่นเอง อีกหนึ่งอย่างที่สำคัญของมัน และขาดไม่ได้นั่นก็คือชีวิตคู่ ในข้างต้นได้บอกไปแล้วว่า พวกมันชอบอยู่เป็นฝูง แต่หากเลี้ยงเป็นฝูงไม่ไหว ก็เลี้ยงเป็นคู่จะง่ายกว่า
สำหรับฤดูผสมพันธุ์ของคาปิบาร่า ก็บอกเลยว่าสามารถผสมพันธุ์ได้ ทุกฤดูกาลเลยทีเดียว ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม และสภาพแวดล้อมด้วย
ในการผสมพันธุ์แต่ละครั้ง ของคาปิบาร่า ตัวเมียก็จะตั้งท้องอยู่ที่ประมาณ 5 เดือน และสามารถมีรูปได้ครั้งละ 4-5 ตัวกันเลยทีเดียว
ใครที่อยากนำมันมาเลี้ยง ก็บอกได้เลยว่านี่ไม่ใช่ exotic pet ราคาถูก เนื่องจากค่าตัวของพวกมันนั้น เริ่มต้นนั้นอยู่ที่ 40,000 บาทไปจนถึง 50,000 บาทเท่านั้นเอง ก็นับว่าเป็นราคาที่ไม่แพงเลย หากว่าคุณรักพวกมันจริงๆ
และหากใครอยากทราบข้อมูลของ exotic pet เพิ่มเติม สามารถค้นหาใน search Bar ของ App Microsoft Powertoys ได้โดยใช้คำว่า exotic pet มีอะไรบ้าง ก็จะพบกับข้อมูลของสัตว์ประเภทนี้ หลากหลายสายพันธุ์กันเลยทีเดียว
มาถึงตอนนี้ ก็คงต้องบอกลากันกับ รีวิวสัตว์ในบ้านแปลกๆ แต่เราจะได้พบกันใหม่ในบทความ ยานยนต์ยุคอนาคต บอกเล่าเรื่องราวน่าสนใจ ของโลกอนาคตที่คุณควรรู้
และพลาดไม่ได้กับ ข่าวASUSเปิดตัว เอาใจสายไอทีกันหน่อย บอกเลยว่า ไม่ควรพลาด สำหรับวันนี้ขอลาไปก่อนนะ บ๊ายบาย
เขียนโดย อลิส