หนูแฮมสเตอร์ ทำความรู้จักกับเจ้าตัวจิ๋วสุดน่ารัก
หนูแฮมสเตอร์ สวัสดีค่ะทุกคน ในปัจจุบันนี้ ได้มีสัตว์เลี้ยงมากมาย ด้วยความชอบของคน ที่แตกต่างกันไป ทำให้บางคน ก็อาจจะชื่นชอบสัตว์แปลก ๆ แล้วก็นำมาเลี้ยง ซึ่งเราก็จะพบเห็น กันได้บ่อยมาก ๆ
โดยสำหรับสัตว์เลี้ยงนั้น ในประเทศไทย ก็สามารถเลี้ยงได้ค่อนข้างเยอะ แต่ไม่ค่อยหลากหลายเท่าไหร่ ส่วนมากก็คงไม่พ้น แมลง ปลา หมา แมว กระต่าย หรืออาจจะเป็นไก่ วนอยู่แค่นี้
ซึ่งในวันนี้ เราก็จะมาพาทุกคน ไปรู้จักกับสัตว์ชนิดหนึ่ง ที่ต้องมีคนรู้จักไม่น้อยแน่ ๆ เพราะมันก็คือเจ้าตัวจิ๋ว ที่มีชื่อว่า แฮมสเตอร์ นั่นเอง โดยเราไปทำความรู้จัก กับความเป็นมา ของเจ้าตัวนี้ กันก่อนดีกว่า
สำหรับประวัติของแฮมสเตอร์นั้น ได้มีการลงไว้ว่า มีการขยายพันธุ์มากมาย อยู่ที่บริเวณทะเลทราย ในแถว ๆ ตะวันออกกลาง แล้วก็เอเชียกลาง ถึงเอเชียตะวันออกเลย ในช่วงศตวรรษที่ 19 ท่ามกลางทะเลทรายซีเรียน
ต่อมาก็เลย ได้รับความยินยอม แล้วก็ได้มาเป็นสัตว์เลี้ยง ในครั้งแรกของโลก เมื่อปี ค.ศ. 1930 ในประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ที่มีหลายชนิด และหลายสกุล
หนูแฮมสเตอร์ ภาษาอังกฤษ เราก็จะเขียนได้ว่า Hamster โดยหน้าตาของมัน จะมีตัวเล็ก หางสั้นกว่าตัว แถมตัวจะออกแนวอ้วนป้อม มีขนที่หลากหลายสี ไม่ว่าจะเป็น ดำ น้ำตาล เทา โดยจะเป็นสีไหนนั้น
ก็จะขึ้นอยู่กับชนิดของมัน แต่ด้านใต้ท้อง จะมีสีขาว และมีดวงตาที่โต อาจจะเป็นสีดำ หรือว่าสีแดงก็ได้ แถมมีจมูกที่ไวต่อกลิ่นหอมมาก ๆ
ในปัจจุบัน สัตว์ชนิดนี้นั้น ก็ได้รับความนิยมมาก ๆ คนจากทั่วโลก ได้มีการเลี้ยงแฮมสเตอร์มากมาย โดยเราไปดูกันต่อดีกว่า ว่าสัตว์ชนิดนี้ จะมีสายพันธุ์อะไรกันบ้าง
หนูแฮมสเตอร์ มีกี่สายพันธุ์ และมีสายพันธุ์อะไรบ้าง ?
สำหรับสายพันธุ์ของมันนั้น เราจะมายกตัวอย่าง หนูแฮมสเตอร์ สายพันธุ์ เพียงแค่ที่นิยมเลี้ยงกันก่อน สำหรับสายพันธุ์แรกนั้น ก็มีชื่อว่า Dwarf Winter White Russian แค่ชื่อก็น่าจะรู้แล้ว ว่ามีอะไรที่เด่น
ซึ่งนั่นก็คือ สีขนของมันนั่นเอง โดยขนของมันนั้น จะมีสีขนอ่อน ๆ อย่างเช่นพวกสีขาว เทา น้ำตาล อะไรพวกนั้น และมันจะอ่อนเพียงแค่หน้าหนาว ในส่วนของพันธุ์แท้ จะค่อนข้างหายาก เป็นสายพันธุ์ที่เชื่อง และเลี้ยงง่ายมาก ๆ
Campbell’s Dwarf Russian หรือที่หลายคน อาจจะเรียกมันว่า แคมเบล จะมีข้างลำตัวสีน้ำตาล เทา ตรงกลางหลังจะมีสีเข้ม กว่าขนแถวลำตัว ในบางครั้งก็อาจจะผสมสีได้
นิสัยของพันธุ์นี้ จะค่อนข้างเอาแต่ใจ แต่ว่าเข้าสังคมได้ แถมยังเลี้ยงกับตัวอื่นได้อีกด้วย ส่วนลักษณะอื่น ๆ ก็จะคล้ายกัน กับพันธุ์แรกเลย สายพันธุ์ต่อมา Dwarf Roborovski
เป็นพันธุ์ที่ถูกเรียกได้ว่า มีอายุยืนยาวมาก ๆ มีความเร็วติดตัวสูง แถมยังตัวเล็กมาก ๆ อีกด้วยนะ แต่ก็สามารถนำไปเลี้ยง รวมกันกับตัวอื่นได้ และสามารถเข้าสังคมได้ปกติ แต่ขอแนะนำว่า ควรเป็นเพศเดียวกันดีกว่า
Chinese จุดเด่นหลัก ๆ ของมันเลยก็คือ หางจะยาวเล็ก และหน้าก็ยาวเรียว สีส่วนใหญ่ที่พบ ก็จะเป็นสี น้ำตาลเทา ขาว หรือขาวเทาเป็นต้น คนเลี้ยงค่อนข้างเยอะ แต่ก็ไม่เท่ากันกับตัวอื่น ๆ เท่าไหร่
Syrian หรือที่หลายคน อาจจะเรียกมันว่า ไจแอนท์ หนูแฮมสเตอร์ยักษ์ เป็นพันธุ์ที่คนเลี้ยงเยอะมาก ๆ เพราะมีขนาดตัว ที่ใหญ่ที่สุด สามารถเล่นด้วยได้ง่าย เพราะมันค่อนข้างเชื่อง และใจดีมาก แถมยังดูแลได้ง่ายอีกด้วย แต่ว่าจะไม่ชอบเข้าสังคม ชอบอยู่ตัวเดียวมากกว่า
ทางด้านของ หนูแฮมสเตอร์ ราคา ก็จะมีราคาที่ต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ของมัน ในพันธุ์ไจแอนท์ ก็จะมีราคาอยู่ที่ประมาณ 100 – 300 บาทต่อตัว
ถ้าเกิดว่าเป็นพันธุ์นำเข้าอย่าง หนูแฮมสเตอร์ ไจแอนท์ยุโรป ก็จะมีราคาสูง ถึงหลักพันเลย ส่วนตัวสายพันธุ์อื่น ๆ ราคาขั้นต่ำ ก็จะอยู่ที่ 80 บาท ไปจนถึง 300 บาท ขึ้นอยู่กับสี และลายของมันด้วยนะ
วิธีเลี้ยงหนูแฮมสเตอร์ วิธีการเลี้ยงจะยากง่ายแค่ไหน ไปดูกันเลย
อย่างแรกเลยก็คือ เรื่องของการเลือกกรง หรือเลือกบ้านให้มัน วิธีการเลือกที่ถูกต้องก็คือ เลือกกรงที่มีพื้นที่ ที่พอดีกับการเป็นอยู่ ของแฮมสเตอร์ ไม่ควรใหญ่จนเกินไป
และไม่ควรเล็กจนเกินไป ถ้าเกิดว่าใครกลัว ว่ามันอาจจะหลุด ออกจากกรงได้ ก็แนะนำว่า ควรใช้ตู้กระจกแทน แต่เราก็ต้องดูด้วย ว่าเราเลี้ยงสายพันธุ์อะไรอยู่
กรงก็ควรมีความยาวอย่างต่ำ 3 ฟุต จะได้มีพื้นที่ ในการทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น วิ่งเล่น ออกกำลังกาย รวมถึงวางของเล่นและอาหารต่าง ๆ แถมยังต้องเป็นที่ ที่มีความสงบอีกด้วย
หากเราได้มันมา ในช่วงแรก ๆ เราควรที่จะให้มัน อยู่ในกรงทันที เตรียมอาหารและน้ำใส่กรงให้พร้อม ปล่อยให้มันอยู่แบบนั้นสัก 2 – 3 วัน ให้มันได้ทำการปรับตัว เพราะว่ามันจะมีอาการเครียด เนื่องจากห่างเพื่อนห่างฝูงมา
ถ้าเราไปยุ่งวุ่นวาย ก็อาจจะเกิดอันตราย เช่น โดนกัด หรือโดนข่วนได้ ถ้ามันเริ่มคุ้นเคย กับบ้านใหม่แล้ว ก็ให้ลองโดยการ ยื่นมือเข้าไปในกรง ถ้าไม่มีท่าที ว่าจะทำร้าย หรือต่อต้านอะไร ก็แปลว่าเริ่มชินแล้ว
จากนั้นเราก็ทำให้มัน คุ้นเคยกับมือเรา อาจจะเอาอาหารมาวาง แล้วให้มันกินก็ได้ หรืออาจจะให้มันเล่นมือ มันจะคุ้นเคยแค่กับมือของเราเท่านั้น เพราะฉะนั้นถ้าเป็นคนอื่น ก็ไม่ควรให้เล่น เพราะอาจโดนกัดได้
หนูแฮมสเตอร์กินอะไรได้บ้าง อย่างแรกที่สำคัญเลย ก็คือน้ำนั่นเอง ควรใช้เป็นเครื่องให้น้ำ ที่ต้องเป็นของแฮมสเตอร์โดนเฉพาะ ถึงจะเป็นสัตว์ ที่ไม่ค่อยกินน้ำ แต่ก็หากเราให้น้ำแบบถ้วย มันก็อาจจะสำลักน้ำได้ และควรเปลี่ยนน้ำทุกวัน นานที่สุดไม่ควรเกิน 3 วัน
อาหารก็เช่นกัน ควรจะเป็นพวกอาหารโรย ไม่ใช่อาหารถ้วย และต้องโรยให้ทั่วกรง มันจะได้ออกกำลังกาย และควรให้อาหารเสริม ประมาณ 2 – 3 ครั้งต่อสัปดาห์ เช่น มะเขือเทศ แครอท หรือผลไม้อื่น ๆ ที่สามารถกินได้ ยกเว้นอาหารของคน
และนอกจากนี้มันก็ยังเป็น หนู แฮม ส เตอร์ ทำความ สะอาดตัว เอง โดยที่เราไม่ต้องห่วง เรื่องของความสะอาดมาก เพราะ หนู แฮม ส เตอร์ ในธรรมชาติ
มักจะทำความสะอาดตัวเองอยู่เสมอ เช่น เอามือไปแตะน้ำลาย แล้วเอามาลูบทั่ว ๆ ตัว แต่หากเราอยากอาบให้เอง ก็ใช้ทรายอาบน้ำ ทำความสะอาดให้
สำหรับใครที่รักสัตว์ ชื่นชอบในเรื่อง สัตว์เลี้ยงยอดนิยม เว็บไซต์ของเรา ก็ได้ทำการลงไว้มากมาย และนอกจากนี้ ยังมีเรื่องของ แหล่งท่องเที่ยวทั่วโลก ให้เราได้ติดตามกันอีกด้วย ใครที่เป็นสายนี้ จะพลาดไม่ได้แล้วนะ
ชาเย็นสีส้ม